วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีการทางการทูต

ในชั่วโมงที่การรุกรานคูเวตเริ่มขึ้น คณะผู้แทนของคูเวตและสหรัฐได้เข้าร้องให้มีการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งได้อนุมัติมติที่ 660 ซึ่งมองว่าการรุกรานเป็นสิ่งไม่ถูกต้องแบะต้องการให้อิรักถอนทหารออก ในวันที่ 3 สิงหาคม สันนิบาตอาหรับได้ออกมติ ซึ่งสรุปได้ว่าต้องการหาทางออกของปัญหาโดยกลุ่มชาติในสันนิบาตอาหรับเท่านั้น และเตือนไม่ให้ชาติอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง อิรักและลิเบียเป็นชาติอาหรับสองชาติที่ปฏิเสธมติที่ให้อิรักถอนทหารออกจากคูเวต องค์ปลดปล่อยปาเลสไตน์เห็นด้วยกับอิรัก รัฐอาหรับเยเมนและจอร์แดน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับตะวันตกที่มีชายแดนติดกับอิรักและพึ่งพาเศรษฐกิจของอิรัก – ไม่เห็นด้วยกับการแทรกแซงทางทหารจากชาติที่ไม่ใช่รัฐอาหรับ รัฐอาหรับซูดานเห็นด้วยกับซัดดัม
ในวันที่ 6 สิงหาคม ตามมติที่ 661 ได้มีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก หลังจากนั้นได้มีมติที่ 665 ซึ่งสั่งการให้มีการปิดล้อมทางทะเลเพื่อทวีความรุนแรงของการคว่ำบาตร คณะมนตรีความมั่นคงกล่าวว่า "การใช้มาตรการดังกล่าวต่อสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นเรื่องจำเป็น... เพื่อที่จะหยุดการเข้าออกของเรือสินค้า เพื่อตรวจสอบสินค้าและจุดหมายปลายทางบนเรือเหล่านั้นและเพื่อให้แน่ใจว่ามติที่ 661 ถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวด”

ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เข้าเยี่ยมทหารอเมริกันในซาอุดิอาระเบียเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ปีพ.ศ. 2533
ตั้งแต่แรกเริ่ม ทางการสหรัฐยืนยันว่าให้มีการถอนทหารอิรักทั้งหมดออกจากคูเวต โดยกล่าวว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับปัญหาอื่นๆ ในตะวันออกกลาง สหรัฐเกรงว่าหากมติเอกฉันท์ใดๆ จากอิรักจะทำให้อิรักมีอิทธิพลในบริเวณดังกล่าวในอนาคต
ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ซัดดัมได้ประกาศให้มีการประนีประนอมผ่านทางวิทยุกรุงแบกแดดและหน่วยงานข่าวของอิรัก เขากล่าวว่า "ทุกการยึดครองที่เกิดขึ้น และทุกกรณีที่เห็นว่าเป็นการยึดครอง ในพื้นที่ดังกล่าว จะถูกยกเลิกพร้อมๆ กัน" โดยเขากล่าวเป็นพิเศษว่าต้องการให้อิสราเอลถอนกำลังออกจากปาเลสไตน์ ซีเรีย และเลบานอน รวมทั้งให้ซีเรียถอนกำลังออกจากเลบานอนด้วย และเสริมว่า "การถอนกำลังโดยอิรักและอิหร่านจัดการสถานการณ์วนคูเวต" เขาได้เรียกร้องให้หากองกำลังมาแทนกองทหารของสหรัฐในซาอุดิอาระเบียด้วยกองกำลังของชาติอาหรับ โดยจะต้องไม่เป็นกองกำลังจากอียิปต์ นอกจากนี้เขาขอให้ "หยุดการคว่ำบาตรทั้งหมด" และปฏิบัติต่ออิรักอย่างเป็นปกติ ตั้งแต่ที่วิกฤตการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีสหรัฐยืนกรานว่าการที่อิรักเข้ายึดคูเวตนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับปัญหาในปาเลสไตน์ 
ในวันที่ 23 สิงหาคม ซัดดัมปรากฏตัวทางโทรทัศน์พร้อทตัวประกันชาวตะวันตก ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะให้ออกจากประเทศ ในวิดีโอ เขาถามเด็กชายชาวอังกฤษ สจ๊วต ล็อกวูด ผ่านทางล่ามว่าเขาได้รับนมหรือไม่ และพูดต่อว่า​ "เราหวังว่าที่หนูมาในฐานะแขกจะไม่ต้องกินเวลานานนัก การที่หนูอยู่ที่นี่และที่อื่นๆ เป็นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงคราม"
อีกข้อเสนอหนึ่งจากอิรักเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 โดยส่งให้กับที่ปรึกษาความมั่งคงของชาติของสหรัฐ เบรนท์ สคอว์ครอฟท์ อิรักติดต่อกับธรรมเนียบขาวว่า "จะถอนทหารออกจากคูเวตและยอมให้ชาวต่างชาติออกนอกประเทศได้" โดยสหประชาชาติจะต้องยกเลิกการคว่ำบาตร โดยต้องยอมให้ "สามารถเข้าออกอ่าวเปอร์เซียผ่านเกาะบูบิยันและวาร์บาห์ของคูเวตได้โดยมีการรับรอง" และยอมให้อิรัก "ควบคุมทุ่งน้ำมันรูไมลาได้อย่างเต็มที่รวมทั้งบางส่วนในเขตของคูเวต" ข้อเสนอยังรวมทั้ง "ยอมให้มีการเจรจาการตกลงเรื่องน้ำมันกับสหรัฐ เพื่อความพอใจทั้งสองฝ่าย เพื่อ'พัฒนาแผนร่วมกัน'เพื่อบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินของอิรัก และ'ทำงานร่วมกันเพื่อคงไว้ซึ่งเสถียรภาพของอ่าวเปอร์เซีย'"
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2533 อิรักได้ยื่นข้อเสนอว่าจะถอนทหารออกจากคูเวตโดยจะไม่มีการโจมตีขณะทำการถอนทัพ และคำนึงถึงการห้ามใช้อาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงในพื้นที่ปาเลสไตน์ ทางธรรมเนียบขาวปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ยัสเซอร์ อาราฟัตจากองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ให้คำบรรยายว่าทั้งเขาและซัดดัมไม่ยืนยันว่า ควรที่จะมีการแก้ไขปัญหาอิสราเอลและปาเลสไตน์ก่อนที่จะแก้ไขในคูเวต แม้ว่าเขารู้ว่าทั้งสองปัญหามีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด สหรัฐยืนหยัดว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆ จนกว่าอิรักจะถอนทหารออกจากคูเวตและพวกเขาจะไม่มีเอกฉันท์ใดๆ ให้กับอิรัก เพื่อให้อิรักเห็นว่าพวกเขาไม่ได้อะไรจากปฏิบัติการทางทหารที่กระทำไป นอกจากนี้ เมื่อรัฐมนตรีของสหรัฐเจมส์ เบเกอร์ได้พบกับทาริก อซิซในกรุงเจนีวา ประเทศสวิซ ในนาทีสุดท้ายของการเจรจาเพื่อความสงบเมื่อต้นปีพ.ศ. 2534 มีรายงานว่าอซิซไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมและไม่เห็นความน่าสงสัยใดๆ ในการกระทำของอิรัก
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 สภาความมั่นคงได้ลงมติที่ 678 ซึ่งให้เวลาอิรักถอนทหารออกจากคูเวตจนถึงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2534 และอนุญาตให้รัฐที่มีอำนาจ"ใช้ทุกวิธี"เพื่อขับไล่อิรักออกจากคูเวตเมื่อเกินเวลากำหนด
ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2534 ฝรั่งเศสได้ยื่นข้อเสนอให้สภาความมั่นคงเรียกร้องให้มี"การถอนทหารอย่างรวดเร็ว"จากคูเวตพร้อมกับส่งคำแถลงถึงอิรักว่าสมาชิกสภาความมั่นคงจะทำการ"เรี่ยไร"เพื่อยุติข้อพิพาทในพื้นที่ที่มีปัญหา "โดยเฉพาะปัญหาอิสราเอลกับรัฐอาหรับและปัญหาในปาเลสไตน์ ด้วยการจัดประชุมนานาชาติในเวลาที่เหมาะสม" เพื่อคงไว้ซึ่ง "เสถียรภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาในส่วนดังกล่าวของโลก" ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากเบลเยี่ยม (ขณะนั้นเป็นสมาชิกไม่ถาวรของสภา) เยอรมนี สเปน อิตาลี อัลจีเรีย โมรอกโก ตูนิเซีย และประเทศอื่นอีกมากมาย สหรัฐ สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียตไม่เห็นด้วย ทูตสหรัฐในสหประชาชาติ โธมัส พิกเกอร์ริ่ง กล่าวว่าข้อเสนอของฝรั่งเศสนั้นไม่สามารถยอมรับได้ เพราะว่ามันไม่เป็นไปตามมติที่สภาได้ลงไว้ในตอนที่อิรักเข้ารุกรานคูเวต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น