วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สงครามอ่าวเปอร์เซีย
Gulf War Photobox.jpg
ลำดับภาพตามเข็มนาฬิกา เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐกำลังบินเหนือบ่อน้ำมันในคูเวต; ทหารอังกฤษในปฏิบัติการแกรนบี้; ภาพจากล็อกฮีด เอซี-130; ทางหลวงมรณะ; เอ็ม 728
วันที่2 สิงหาคม พ.ศ. 2533- 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534
(ปฏิบัติการพายุทะเลทรายสิ้นสุดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538)
สถานที่อ่าวเปอร์เซีย
ผลลัพธ์กำลังผสมได้รับชัยชนะ
  • การกำหนดการลงโทษทางเศรษฐกิจต่ออิรัก
  • กองทัพอิรักถูกขับไล่ออกจากคูเวต
  • ฝ่ายอิรักได้รับความสูญเสียอย่างหนัก และโครงสร้างพื้นฐานของอิรักกับคูเวตถูกทำลาย
  • สงครามอิรัก
คู่ขัดแย้ง
กองกำลังพันธมิตร:
ธงชาติของคูเวต คูเวต
Flag of the United States สหรัฐอเมริกา
Flag of the United Kingdom สหราชอาณาจักร
ธงชาติของซาอุดีอาระเบีย ซาอุดีอาระเบีย
ธงชาติของฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
ธงชาติของแคนาดา แคนาดา
ธงชาติของอียิปต์ อียิปต์
ธงชาติของซีเรีย ซีเรีย
ธงชาติของประเทศกาตาร์ กาตาร์
Flag of the United Arab Emirates สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อิรัก อิรัก
ผู้บังคับบัญชา
คูเวต จาเบอร์ อัลอะหมัด อัลจาเบอร์ อัลซาบาห์
สหรัฐอเมริกา นอร์แมน ชวาร์ซคอพฟ์
สหรัฐอเมริกา โคลิน โพเวลล์
ซาอุดีอาระเบีย คาลิด บิน สุลต่าน
สหราชอาณาจักร แอนดรูว์ วิลสัน
สหราชอาณาจักร ปีเตอร์ เดอ ลา บิลแลร์
อิรัก ซัดดัม ฮุสเซน
อิรัก อลี ฮัสซัน อัลมาจิด
กำลัง
ทหาร 959,600 นาย
เครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตีรวมกันทั้งหมด 1,820 ลำ (สหรัฐอเมริกา 1,376 ลำ; ซาอุดิอาระเบีย 175 ลำ; อังกฤษ 69 ลำ; ฝรั่งเศส 42 ลำ; แคนาดา 24 ลำ; อิตาลี 8 ลำ)
รถถัง 3,318 คัน (ส่วนมากมักจะเป็นเอ็ม 1 เอบรามส์(สหรัฐอเมริกา) ชาเลนเจอร์ 1(สหราชอาณาจักร) และเอ็ม 60(สหรัฐอเมริกา)
เรือบรรทุกเครื่องบิน 8 ลำ
เรือประจัญบาน 2 ลำ
เรือลาดตระเวน 20 ลำ
เรือพิฆาต 20 ลำ
เรือดำน้ำ 5 ลำ
ทหาร 545,000+ นาย (100,000+ นายในคูเวต)
เครื่องบินขับไล่ 649 ลำ
ร ถถัง 4,500 คัน (มีไทป์-59 และไทป์-69 ของจีน; ที-55และที-62ที่ผลิตเอง; ที-72ของโซเวียตอีก 500 คัน)
กำลังพลสูญเสีย
ถูกศัตรูสังหาร: 190 นาย
บาดเจ็บ 719 นาย
ถูกจับเป็นเชลย 41 นาย (ไม่ทราบจำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายคูเวต แต่มีอย่างน้อย 605 นายที่สูญหาย)
ยิงฝ่ายเดียวกัน: 44 นาย บาดเจ็บ 57 นาย
อุบัติเหตุจากระเบิด: 11 นาย
อุบัติเหตุ: 134 นาย
ทั้งสิ้น: มีประมาณ 1,800 นายที่เสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหายและถูกจับเป็นเชลย
ถูกสังหาร 20,000 นาย
ถูกจับเป็นเชลย 80,000 นาย
บาดเจ็บ 75,000 นาย
ทั้งสิ้น 175,000-355,000 นายที่ถูกสังหาร บาดเจ็บ สูญหาย และถูกจับเป็นเชลย
พลเรือน
ชาวอิรักถูกสังหาร 3,664 ราย
ชาวอิสราเอลถูกสังหาร 2 ราย บาดเจ็บ 230 ราย
ชาวซาอุถูกสังหาร 1 ราย บาดเจ็บ 65 ราย
ชาวคูเวตประมาณ 1,000 คนถูกสังหารในช่วงที่อิรักเข้ายึดครอง และมีผู้อพยพกว่า 300,000 คน
สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า สงครามอ่าว (อังกฤษGulf War) หรือที่รู้จักกันว่า สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่หนึ่งสงครามก่อนที่จะใช้เรียกการบุกครองอิรักเมื่อ พ.ศ. 2546 และเรียกกันด้วยความเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ซึ่งเป็นชื่อของปฏิบัติการเพื่อการรับมือทางทหาร   เป็นความขัดแย้งทางทหารที่เริ่มโดยกองกำลังผสมจาก 34 ประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นผู้ดูแล กับอิรักและรัฐบาลร่วมที่ต้องการขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตหลังจากที่อิรักเข้ายึดครองคูเวต ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533
การรุกรานคูเวตโดยกองทัพอิรักที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ได้รับการประณามจากนานาชาติ และนำไปสู่การลงโทษทางเศรษฐกิจทันทีโดยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ส่งกำลังอเมริกันไปยังซาอุดิอาระเบียเกือบ 6 เดือนหลังจากนั้น และกระตุ้นให้ประเทศอื่นส่งกำลังของตนเข้ามายังสถานที่ดังกล่าวด้วย มีหลายประเทศเข้าร่วมกำลังผสมด้วย โดยมีกำลังทหารส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย สหราชอาณาจักรและอียิปต์เป็นผู้ให้ความร่วมมือหลัก ซาอุดิอาระเบียระดมทุนให้ประมาณ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งมหด 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในสงครามครั้งนี้
ความขัดแย้งระยะแรกเพื่อขับไล่กองทัพอิรักออกจากคูเวตเริ่มต้นขึ้นจากการทิ้งระเบิดทางอากาศเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 ตามมาด้วยการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังผสม ผู้ซึ่งปลดปล่อยคูเวตและรุกเข้าไปในพรมแดนอิรัก กองกำลังผสมยุติการรุกคืบ และประกาศหยุดหยิง 100 ชั่วโมงหลังจากการทัพภาคพื้นดินเริ่มต้นขึ้น การรบทางอากาศและพื้นดินจำกัดอยู่ภายในอิรัก คูเวต และพื้นที่บริเวณพรมแดนของซาอุดิอาระเบีย อย่างไรก็ตาม อิรักได้ปล่อยขีปนาวุธสกั๊ดต่อเป้าหมายทางทหารของกองกำลังผสมในซาอุดิอาระเบียและต่ออิสราเอล

ที่มา

ตลอดช่วงเวลาของสงครามเย็น อิรักเป็นพันธมิตรสหภาพโซเวียตและมีประวัติความไม่ลงรอยกับสหรัฐอเมริกา สหรัฐกังวลถึงตำแหน่งของอิรักต่อการเมืองอิสราเอล-ชาวปาเลสไตน์และการที่อิรักไม่เห็นด้วยกับสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์
สหรัฐเองก็ไม่ชอบการที่อิรักเข้าสนับสนุนกลุ่มอาหรับและปาเลสไตน์ติดอาวุธอย่างอาบูไนดัล ซึ่งทำให้มีการรวมอิรักเข้าไปในรายชื่อประเทศผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐในวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2522 สหรัฐยังคงสถานะเป็นกลางอย่างเป็นทางการหลังจากการรุนรานของอิหร่านกลายมาเป็นสงครามอิรัก-อิหร่านแม้ว่าจะแอบช่วยอิรักอย่างลับ ๆ อย่างไรก็ดีในเดือนมีนาคม 2525 อิหร่านเริ่มทำการโต้ตอบได้สำเร็จ ปฏิบัติการชัยชนะที่ปฏิเสธไม่ได้ และสหรัฐได้เพิ่มการสนับสนุนให้กับอิรักเพื่อป้องกันไม่ให้อิรักถูกบังคับให้พ่ายแพ้
ในความพยายามของสหรัฐที่จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอิรักอย่างเต็มตัว ประเทศอิรักได้ถูกนำออกจากรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย นั่นก็เพราะว่าการพัฒนาในบันทึกการปกครอง แม้ว่าอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ โนเอล คอช ได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า "ไม่มีใครที่สงสัยในเรื่องที่อิรักยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้าย... เหตุผลจริง ๆ คือเพื่อช่วยให้พวกเขามีชัยเหนืออิหร่าน"
เมื่ออิหร่านประสบกับชัยชนะในสงครามและปฏิเสธการสงบศึกที่ได้รับการเสนอขึ้นในเดือนกรกฎาคม การขายอาวุธให้กับอิรักก็ทำลายสถิติเมื่อปี 2525 แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ระหว่างสหรัฐกับอิรัก กลุ่มอาบูไนดัลยังคงได้รับการสนับสนุนอยู่ในแบกแดด เมื่อประธานาธิบดีอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ได้ขับไล่พวเขาไปยังซีเรียตามคำขอของสหรัฐในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2526 รัฐบาลเรแกนได้ส่งโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ เพื่อพบกับประธานาธิบดีฮุสเซนเป็นทูตพิเศษและเพื่อกระชับความสัมพันธ์

ความตึงเครียดกับคูเวต

เมื่ออิรักทำการหยุดยิงกับอิหร่านในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2531 อิรักก็ประสบกับการล้มละลายอย่างแท้จริง โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ซาอุดิอาระเบียและคูเวต อิรักกดดันทั้งสองชาติให้ยกหนี้ทั้งหมด แต่ทั้งสองประเทศตอบปฏิเสธ อิรักยังได้กล่าวหาคูเวตว่าได้ผลิตน้ำมันโควตาของโอเปก ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลง ซึ่งส่งผลให้อิรักประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจเพิ่มเข้าไปอีก
การที่ราคาของน้ำมันตกลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอิรักอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลอิรักได้บรรยายว่ามันเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ ซึ่งอ้างว่าคูเวตเป็นต้นเหตุ โดยการเจาะท่อลอดข้ามพรมแดนเข้าไปในทุ่งน้ำมันรูมาเลียของอิรัก
ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศยังเกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างของอิรักที่ระบุว่า คูเวตเป็นอาณาเขตของอิรัก หลังจากได้รับเอกรารชจากสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลอิรักได้ประกาศในัทันทีว่าคูเวตเป็นอาณาเขตโดยชอบธรรมของอิรัก เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอิรักเป็นเวลาหลายศตวรรษจนกระทั่งอังกฤษก่อตั้งคูเวตขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ดังนั้น จึงได้กล่าวว่า คูเวตเป็นผลผลิตจากลัทธิจักรวรรดินิยมของอังกฤษ อิรักอ้างว่าคูเวตเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดบาสราของจักรวรรดิออตโตมัน ราชวงศ์ที่ปกครองคูเวต อัลซอบะห์ ได้ตัดสินใจลงนามในข้อตกลงเป็นรัฐในอารักขาเมื่อ พ.ศ. 2442 ซึ่งมอบหมายความรับผิดชอกิจการระหว่างประเทศให้แก่อังกฤษ อังกฤษเขียนพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และพยายามจำกัดทางออกสู่ทะเลของอิรักอย่างระมัดระวัง เพื่อที่ว่ารัฐบาลอิรักในอนาคตจะไม่มีโอกาสคุกคามการครอบครองอ่าวเปอร์เซียของอังกฤษ อิรักปฏิเสธที่จะยอมรับพรมแดนที่ถูกเขียนขึ้น และไม่รับรองคูเวตจนกระทั่งปี พ.ศ. 2506
ในตอนต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 อิรักไม่พอใจกับพฤติกรรมของคูเวต อย่างเช่น ไม่เคารพโควตา และคุกคามที่จะใช้กำลังทหารอย่างเปิดเผย วันที่ 23 กรกฎาคม ซีไอเอรายงานว่าอิรักได้เคลื่อนกำลังพล 30,000 นาย ไปยังพรมแดนอิรัก-คูเวต และกองเรือสหรัฐในอ่าวเปอร์เซียได้รับการเตือนภัย วันที่ 25 กรกฎาคม ซัดดัม ฮุสเซน พบกับเอพริล กลาสพาย เอกอัครราชทูตอเมริกันในกรุงแบกแดด ตามการแปลเป็นภาษาอิรักของการประชุมครั้งนั้น กลาสพายพูดกับผู้แทนอิรักว่า
"เราไม่มีความคิดเห็นต่อความขัดแย้งอาหรับ-อาหรับ"
ตามบันทึกส่วนตัวของกลาสพาย เธอกล่าวในการประชุมถึงพรมแดนที่ชัดเจนระหว่างคูเวตและอิรัก
"[...] ว่าเธอได้เคยทำงานอยู่ในคูเวตเมื่อ 20 ปีก่อน ดังนั้น ในขณะนี้ เราจึงไม่เลือกฝ่ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาหรับ"
เมื่อวันที่ 31 การเจรจาระหว่างอิรักและคูเวตในเจดดะห์ประสบความล้มเหลวอย่างรุนแรง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น